Sunday, December 6, 2009

Echo From Spaces

สองสามวันมานี่ ที่พ่อหายไป พ่อได้ไปทำการสอบถามความคิดเห็นจากคนหลายๆคนในองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลนักบวช "Priory Of Priste" และได้ไปเจอคับนักบวชหญิงท่านหนึ่ง มีความคิดแบบเดียวกับพ่อ...

มันเป็นความคิดเกี่ยวกับ พฤติกรรมของโคเลอห์ที่หลังจากกลับจากการแสวงบุญที่ต่างประเทศกับกลุ่มนักบวช
สรุปได้เป็นความคิดแง่ลบทั้งหมด...? จากการที่พ่อวิเคราะห์จากการสนทนาที่ล่วงเลยไปถึง 3 ชั่วโมง

  • ความคิดเขาตรงกับพ่อคือ โคเลอห์เป็นเด็กชอบเอาชนะ และทำได้ทุกอย่างแม้กระทั้งฆ่าคน
  • คน คนนี้มีการวางแผนที่แยบยลนักแต่หากใครจะสังเกตุหละก็จะพบได้ทันที
  • เป็นคนตอแหล หน้าสองชั้น มีหน้าสองด้าน
  • ไม่มีบุคลิกเป็นของตัวเอง มักจะเอาบุคลิก ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
  • เป็นคนมีความทะเยอทะยานสูง... ไม่ค่อยคำนึงถึงเรื่องอื่นๆมุ่งแต่จะบรรลุวัตถุประสงค์
  • ในเวลานี้ เขายังค่อยจดบันทึกคำพูดของผู้นำสูงสุดของ Priory อีกด้วย แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นการนำไปทำอะไรแต่ตอนนี้พ่อและนักบวชหญิงคนนี้ คิดว่าเอาไว้ทับถมเมื่อ ก้าวผลาด
  • ยังมีการไปตีสนิทกับคนสนิทของผู้นำสูงสุดด้วยคาดว่าใช้เป็นบันไดสู่ตัวท่านผู้นำ
  • เป็นคนที่อยู่กับ 10 คนมีนิสัย 10 อย่าง
  • ใน Priory มีหลายกลุ่มย่อยเขาเข้าทุกกลุ่ม
  • นักบวชหญิงเธอยังกังวล และ ไม่ไว้ใจโคเลอห์เลยแม่แต่น้อย
  • เวลานี้ใน Priory เกิดรอยแยกเล็กๆขึ้น โคเลอห์พยายามศึกษารอยแยกนั้น
  • เธอบอกว่า "เขาพยายามทำตัวเหมือนตัวพ่อเองทั้งความคิดและการพูด"
  • เขาพูดอย่างไม่มีศิลปะ ชอบทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่
  • หลายๆคนใน Priory เริ่มรู้สึกไม่ดีกับโคเลอห์
  • อันนี้สำคุญ "พ่อได้รับรายงานว่า ในช่วงนี้โคเลอห์เข้าไปที่ Priory สำนักงานใหญ่บ่อยกว่า ผู้ช่วยท่านผู้นำเสียอีก"
วันนี้พ่อเหนื่อยมามากพอแล้ว คงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน และวันต่อๆไปพ่อได้ไหววานให้ คาร์เมอเลญโญ คาร์โล เวนเตรสกา ไปทำหน้าที่แทนพ่อแล้ว

พระเจ้าอวยพรแด่ Knight Templa

Saturday, December 5, 2009

การติดต่อจากแนวหน้าของผู้การ

ถึงทุกคนในAesthetic of Illuminati
ตอนนี้ผู้การรบติดพันอยู่ที่แนวหน้า ยังไม่อาจจะกลับไปยังวาติกันได้
ตอนนี้ผู้การรู้สึกได้ว่าโคเลอร์กำลังค่อยๆสร้างความไม่พอใจหลายอย่างให้กับองค์กรเรามากขึ้น
โคเลอร์เริ่มหันเหไปกับการทำงานนอกมากกว่าจะงานหลักที่ต้องทำ
จนอาจจะก่อให้เกิดผลเสียทำองค์กรเราได้
ตอนนี้ของคุณวิคตอเรียและหลวงพ่อมอร์ตาติ โปรดรออีกนิด
หากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผู้การอยู่ตรงนี้ลดน้อยลงผู้การจะรีบเดินทางกลับไปยังวาติกันโดยเร็ว

ผู้การโอลิเวติ

Wednesday, December 2, 2009

ลมเปลี่ยนทิศ

จากการสังเกต เมื่อหลายวันมานี้
มีความคืบหน้า บ้างเล็กน้อย
โคเลอร์ ได้พบกับเหยื่อรายใหม่
สามารถรับฟัง โคเลอร์ได้
เป็นคนไม่ไกลตัว เท่าไหร่
และโคเลอร์ ก็ไว้ใจมากด้วย
ถือว่าเป็นข่าวดีได้มั๊ย
ที่มีคนมารับเคราะห์ แทน สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
การพูดคุยของทั้งคู่ บ่อยขึ้นมาก
อาจจะสงสัยว่าทำไม
โคเลอร์ ถึงได้คุยโทสับ ตลอดเวลา
เพราะว่าต้องคุยกับ หลายคน นั่นเอง

วันนี้ ก็ได้รุ้ถึงสาเหตุที่ช่วงนี้
โคเลอร์ ไม่พูดถึงบุคคลที่ 3 ที่ 4 เลย
เหตุผลบางประการ ทำให้ฉุกคิดได้ว่า
รู้รึยังล่ะ ว่ารู้สึกยังไง
มันเป็นเรื่องราวของคนที่ต้องมาทน
นั่งฟัง เรื่องความรักของคนอื่น
มีหน้ามาบอกว่า อย่าพูดเรื่องนี้เลย มันเจ็บ
และทีตอนตัวเองทำ ทำไมไม่คิดแบบนี้ล่ะ
ไม่อยากรู้ แต่ก็ต้องทนฟัง เพื่อ ??
มีประโยคนึง ที่ โคเลอร์บอกว่า มันเจ็บจี๊ด
"แย่งแฟนคนอื่น มีความสุขมากหรอ"
คนพูดคงรู้นะ แต่ในจังหวะนั้น คือพูดกับคนอื่น
ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถ ทำให้รู้สึกได้
ความไม่ดีของตัวเอง คงจะมองเห็นได้ยากเกินไป
รอก่อนนะ เด๋วปีใหม่ ซื้อกระจกบานเท่าตัวให้
ก็คงไม่เป็นไร ถ้าคิดซักนิด ก่อนจะทำอะไร
แต่วันนี้โมโหจิง ยังไม่ทันพูดไรเลย
มาบอก อย่าพูดเรื่องนี้ จำไว้ละกัน คำที่พูดวันนี้อะ
อย่าให้ต้องใช้บ้างนะ ประโยคเดียวคงไม่พอ
ทีคนอื่นอะ สอนเค้าจัง
เก็บไว้บอกตัวเอง บ้างก็ดีเหอะ

มากมายนะบางที
เรื่องงานอีก จะโวยวายทำไม
เก่งนักก็แยกร่าง เอาละกัน
ใครจาไปช่วยได้ทุกเรื่อง
การบ้านทำให้เส็ดทุกอย่างก่อนดีมั๊ย
เรื่องอื่น ค่อยว่ากัน


ขอโทษด้วย ที่วันนี้ อารมณ์ส่วนตัวเยอะไปนิด
มันหลายสิ่งอย่าง เกินไป

ถึงอัศวิน Knight Templa ทั้งหลาย

ลูกๆ เหล่าอัศวินผู้ปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์หายไปไหนกัน....

เป็นตายร้ายดีอย่างไรแจ้งพ่อด้วย

Monday, November 30, 2009

การรุกคืบหน้าอย่างไม่เหมาะสมและไม่ดูสถานะของตัวเอง


สมัยผมยังประจำการอยู่ในกองทัพสวิตก่อนที่มาจะเป็นสวิตการ์ดในวาติกันนี้ ครูฝึกมักจะสอนว่าการรบที่ดีเราควรจะดูกำลังฝ่ายเราด้วยว่าควรรุกหน้าไปมากแค่ไหนไม่ให้เกินตัว เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียที่มากเกินไป


ซึ่งวันนี้ระหว่างเดินตรวจการณ์อยู่ก็ได้เจอกับโคเลอร์ โคเลอร์เล่าให้ฟังว่าตอนนี้เขาเหมือนกัน "ประธานเงา" ในองค์กรนักบวชแห่งวาติกัน

นี่มันอะไรกันโคเลอร์ซึ่งเพิ่งเข้ามาได้ไม่นานพยายามไต่ขึ้นถึงจุดยอด โดยไม่ดูตัวเองหรือคนรอบข้างว่า มันเหมาะแล้วหรือที่จะทำแบบนี้มันอาจจะเป็นการสร้างศัตรูมากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นไปได้ เขาก้าวเร็วหรือวิ่งเร็วเกินไปในขณะที่พวกเราค่อยเป็นค่อยไปในสิ่งควรทำ เรารู้ว่าตอนนี้เราอยู่ในบทบาทไหนควรจะนำในบางครั้งหรือเป็นผู้ตามที่ดีแต่โคเลอร์ไม่ใช่อย่างนั้น เหมือนกับว่าโคเลอร์ไม่ชอบบทบาทที่เขาต้องเป็นผู้ตาม เขาอยากจะเป็นผู้นำคนอื่น ในความรู้สึกของผมคิดว่าโคเลอร์พยายามที่จะตั้งตนเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำ แต่ผมได้คุยกับหลวงพ่อมอตาติและหลวงพ่อคาโลแล้วว่า โคเลอร์นั้นเหมือนยังไม่พร้อมที่ขึ้นเป็นหัวหน้าเขายังขาดภาวะผู้นำการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ การวางแผนงาน นี้แหละคือสิ่งที่ทำให้โคเลอร์นั้นยังไม่พร้อมที่จะเป็นหัวหน้า เขาจำเป็นจะต้องเรียนรู้ในบทบาทของผู้ตามซะก่อนเขาจะต้องเรียนรู้อีกมากกว่าก้าวขึ้นมาสู่บทบาทผู้นำได้

Saturday, November 28, 2009

ปกติสุข

เหตุการณ์ เป็นปกติ อย่างไม่น่าเชื่อ
อาจเป็นเพราะเวลาอันน้อยนิด
และงานอันล้นมือ ของโคเลอร์
แต่ก็ดีแล้ว

.

.

.

ไม่มีอะไรคืบหน้าในวันนี้
ทุกอย่างปกติสุข
ขอให้ทุกคนหลับสบายยย

ส่วนในวันต่อๆ ไป จะพบเจอกับอะไร
ยังตอบไม่ได้ ตอนนี้
ทำได้แค่ รอดู

แต่เชื่อแน่ว่า อีกไม่นาน...

วันนี้ พ่อมอร์ตาติได้ ให้พ่อ เข้าไปแทรกซึมในที่พำนักของโคเลอห์

วันนี้พ่อได้หารือกับพ่อมอร์ตาติ สรุปว่าวันนี้ จะไห้พ่อไปแทรกซึมอีกครั้ง

Friday, November 27, 2009

The Lion Monument

The Lion Monument (สิงโตร้องไห้)
กล่าวกันว่า อนุสาวรีย์สิงห์โตร้องไห้นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าทหารของSwiss Guard
ในปลายสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่16ของฝรั่งเศส ก่อนที่จะมีการปฏิวัติล้มล้างระบอบกษัตริย์ (คศ.1789)พระเจ้าหลุยส์16ได้จ้างหหารสวิสไว้500นาย และก่อนที่พระองค์จะหลบหนี ได้สั่งทหารสวิสเหล่านี้ไว้ว่า อย่าทำร้ายประชาชน ให้เพีียงป้องกันตนได้เท่านั้นพวกเขาทำตาม ในที่สุดก็เสียชีวิตไปทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีเหลือกับสู่บ้านเกิดเมืองนอนเลย นั้นแสดงถึงความสื่อสัตย์และการยึดมั่นต่อคำปฏิญาณของSwiss Guard ที่พวกเราทุกคนนั้นมีอยู่ทุกคน
แต่ทำไมโคเลอร์ ที่เคยกล่าวคำสาบานมาแล้วครั้งหนึ่งว่าจะสื่อสัตย์แต่ทำไมถึงละทิ้งคำสาบานที่ให้ไว้และกลับไปสู่การหลอกลวงอีกครั้งนึง

บทภาวนาของ Saint Francis Of Assisi

วันนี้พ่อได้แปล บทภาวนาแห่งนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี มาให้

ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ
ที่ใดมีความเกลียดชัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก
ที่ใดมีความเจ็บแค้น ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย
ที่ใดมีความแตกแยก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี
ที่ใดมีความเท็จ ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความจริง
ที่ใดมีความสงสัย ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความเชื่อ
ที่ใดมีความสิ้นหวัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความหวัง
ที่ใดมีความมืด ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสว่าง
ที่ใดมีความเศร้าโศก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำ ความยินดีเบิกบาน

ข้าแต่พระเป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นผู้บรรเทา มากกว่าจะเป็นผู้รับการบรรเทา
เห็นใจผู้อื่นมากกว่าจะรับความเห็นใจ
รักผู้อื่นก่อน และมากว่าที่จะให้คนอื่นรักข้าพเจ้า
ผู้ที่ให้เท่านั้น จะได้รับความอิ่มเอิบยินดี
ผู้ที่ลืมตนเองเท่านั้น จะพบตนเองในทางสันติ
ผู้ที่ยกโทษให้เท่านั้น จะได้รับการอภัยโทษ
ดังนี้เมื่อเราตาย จะได้ไปสู่พระราชัย ของพระองค์ชั่วนิรันดร เอเมน

จงให้พ่อและคาร์ดินัล มอนตาร์ติ เป็นผู้ประธานทางสว่างแด่ลูกๆ โดยเฉพาะยิ่ง โคเลอห์ผู้สร้างความแตกแยก
ขอพระเจ้าประธานพรเพื่อความสงบสุขแห่งแผ่นดินวาติกันอันศักดิ์สิทธิ์

Wednesday, November 25, 2009

Library of Vatican


วันนี้ตอนบ่ายมีเวลาว่างเลยได้ไปนั่งอ่านหนังสือที่หอสมุดวาติกัน ระหว่างนั้นก็ได้เจอกับพระคานินัลมอตาติและคุณเวตรา พวกเราได้ถกปัญหาของโคเลอร์ ที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ หลังจากได้เล่าเรื่องสมุดเล่มแดงให้ทุกคนฟังแล้วไม่นานนัก "โคเลอร์" ก็ได้โทรหาคุณเวตรา ณ ขณะนี้โคเลอร์ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ ทำให้คุณเวตรามีเวลาที่จะมาพบพวกเรามากขึ้น บางครั้งการที่โคเลอร์อยู่กับพวกเราตลอดเวลานั้นก็ดูเหมือนเป็นเรื่องอึดอัดใจยิ่งนักสำหรับพวกเรา พวกเราไม่ได้ต้องการจะเลิกคบกับโคเลอร์นักหรอก แต่โคเลอร์นั้นมักจะนำปัญหาต่างๆเข้าในกลุ่มของเรา บางครั้งที่ผมและพ่อมอตาติต้องคอยแก้ปํญหาที่โคเลอร์สร้างขึ้นอยู่อย่างเงียบๆ ส่วนคุณเวตราซึ่งเป็นไว้วางใจของโคเลอร์ก็ต้องคอยทนฟังปัญหาต่างๆที่โคเลอร์ได้สร้างขึ้นหรือพบเจอเข้ามาในชีวิต ซึ่งบางครั้งคุณเวตราก็ดูเหนื่อยไปบ้าง โคเลอร์จึงเป็นเรื่องที่หนักกะบาลสำหรับพวกเราอยู่ในขณะนี้ เรายังคงต้องหาทางแก้ไขกันต่อไป
ผมได้คุยกับพระคานินัลมอตาติเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานของโคเลอร์ที่มากเกินไป ซึ่งอาจจะก่อผลเสียให้กับโคเลอร์ในภายหลัง เรื่องแบบนี้ต้องรับผิดชอบตัวเองไม่มีใครจะช่วยได้หรืออาจจะเป็นไปตามประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการให้โคเลอร์ได้เรียนรู้ในสิ่งจะมีผลกระทบอันเลวร้ายตามมาในภายหลัง

สวัสดีลูกๆทั้งหลาย

ลูกเอ๋ย พ่ออยากจะบอกว่า ในตอนนี้ พระสุรเสียงแห่งประผู้เป็นเจ้า ได้มีโองการตรัสผ่านพ่อให้มารวมกลุ่มลูกขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนี้โคเลอร์ยังมีความลับอีกมากมายที่ยังไม่ได้บอกพวกเรา เรื่องต่างๆนอกกำแพงอันศักดิ์สิทธิ์แห่งวาติกัน ดังนั้นจงตั้งใจหาข้อมูลมาเรื่อยไปตามพระประสงค์พระเจ้า

The Red Book




วันนี้หลังจากเดินตรวจการณ์ในกลุ่มอาคารที่พักของพระคานินัลก็ได้เดินไปยังหอจดหมายเหตุ ซึ่งก็ได้พบกับพระคานินัลมอตาติก็ได้คุยกัน ระหว่างนั้นเองก็เจอกับสมุดเล่มหนึ่งหุ้มหนังสีแดง วางอยู่บนโต๊ะในหอจดหมายเหตุวาติกันจึงได้เปิดอ่าน พบบันทึกโบราณที่กล่าวถึงหญิงสาวที่ทุ่มเทให้กับ"โคเลอร์" (โคเลอร์มันคือใครว่ะ) เมื่อได้อ่านไปเรื่อยๆก็ได้พบกับปริศนามากมาย หญิงสาวที่อยู่ในบันทึกได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ"โคเลอร์" เธอเป็นคนที่พร้อมจะสละชีวิตให้กับ "โคเลอร์" ระหว่างที่อ่านอยู่นั้นพระคานินัลมอตาติก็เดินกลับมาหาผม แล้วก็ถามว่า "ลูกเอ่ย เจ้าอ่านอะไรอยู่" ตอนนั้นก็ยกเลยให้พ่อท่านดู แต่พ่อท่านก็ปฏิเสธที่จะอ่านบันทึกนั้น ผมไม่รู้เป็นเพราะอะไรหลวงพ่อท่านถึงไม่อยากอ่านบันทึกเล่มนั้น เมื่ออ่านเรื่อยๆก็ได้พบการสิ่งของที่ "โคเลอร์เก็บไว้" มากมาย ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันมีความหมายอะไร ไม่นานนักผมก็นำมันกลับมาอ่านที่กองบัญชาการสวิตการ์ด ซึ่งก็ได้พบสิ่งแปลกประหลาดใจว่าทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงได้ยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับ "โคเลอร์" มากเพียงนี้ เมื่ออ่านเสร็จก็รีบนำมันกลับไปคืนที่หอจดหมายเหตุ ระหว่างทางที่กลับจากหอจดหมายเหตุนั้นก็ได้พบกับพระคานินัลมอตาติ(อีกแล้วหรอ) ก็เลยเชิญพ่อท่านมานั่งกินกาแฟที่กองบัญชาการสวิตการ์ดเพื่อปรึกษาหารือเรื่องสมุดเล่มแดงเล่มนั้น




วงเวียน

เรื่องราวในอดีตเหมือนจะย้อนกลับมาตรงจุดเดิม
สิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว มักจะเกิดขึ้นซั้าๆ เดิม
เพียงแต่ เปลี่ยนเวลา และบุคคล
ระดับความรุนแรง บางครั้ง คงที่ บางครั้ง แย่ลงเรื่อยๆ
แต่ในความทุกข์ของใครคนนึง
มักทำให้คนอื่นๆ ทุกข์ไปด้วย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
คำพูดที่คอยตักเตือน ไม่เป็นผล
เพียงเพราะ มันไม่สำคัญ
จากความเป็นห่วง เป็นความสงสาร และกลายเป็นความรำคาญ ในที่สุด
ทุกเรื่องมองได้ 2 ด้าน ถ้าเลือกที่จะมองด้านเดียว
เราก็จะไม่เห็นคนอื่นเลย
จำเป็นมั๊ย ? ที่จะต้องใส่ใจความรู้สึกคนอื่น
มันอาจจะไม่จำเป็นเลยถ้าไม่ใช่คนที่เราแคร์

หลายครั้งเราไม่ควรคิดแทนคนอื่น
แต่ควรเลือกที่จะรู้สึกแทนคนอื่นบ้าง

คนเราถ้าอยู่เป็นคู่ แล้วมันทุกข์มาก
ก็อยู่คนเดียวบ้างก็ดี น๊ะ